แนะการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ และวัคซีนโควิด-19 คือทางรอดในยุคโควิด-19 ช่วยลดอาการรุนแรงจากการติดเชื้อร่วมกัน และลดอัตราการนอนห้องไอซียู ได้ถึง 7%
ตลอดระยะเวลามากกว่า 2 ปี ทั่วโลกกำลังเผชิญกับวิกฤตการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งอยู่ท่ามกลางความสนใจของผู้คนจำนวนมหาศาลเกี่ยวกับวัคซีนโควิด-19 และยารักษาโควิด-19 รวมถึงทุกเรื่องที่เกี่ยวข้อง ทำให้อาจลืมไปว่ายังมี ‘ไวรัสทางเดินหายใจ’ อีกตัวที่ควรเฝ้าระวังและให้ความสำคัญ เนื่องจากไวรัสนี้ไม่ได้หายไปไหนและพร้อมที่จะกลับมาระบาดอีกครั้ง นั่นก็คือ ‘ไข้หวัดใหญ่’จากสถิติที่ผ่านมาเด็กจะมีโอกาสติดเชื้อไข้หวัดใหญ่มากกว่าผู้ใหญ่ได้ถึง 4 เท่า เนื่องจากมีภูมิคุ้มกันต่ำ รวมถึงพฤติกรรมของเด็กโดยธรรมชาติที่มักขาดความระมัดระวัง ทั้งน้ำลาย น้ำมูก ไอจามรดกัน และไม่ชอบล้างมือ ยิ่งไปกว่านั้นในกลุ่มเด็กและทารกยังมีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคแทรกซ้อนจากไข้หวัดใหญ่ได้มากกว่าการติดเชื้อโควิด-19 ขณะเดียวกัน ในกลุ่มสตรีมีครรภ์ เมื่อเป็นไข้หวัดใหญ่จะมีโอกาสต้องนอนในโรงพยาบาลมากกว่าหญิงตั้งครรภ์ที่ไม่ติดเชื้อไข้หวัดใหญถึง 4 เท่า และหากเป็นไข้หวัดใหญ่มักมีอาการรุนแรง สามารถส่งผลกระทบต่อการตั้งครรภ์ เช่น การคลอดก่อนกำหนด อาจรุนแรงถึงขั้นสูญเสียการตั้งครรภ์ หรือเสียชีวิตได้ทั้งแม่และลูก ฉะนั้นคุณแม่ที่อยู่ในช่วงตั้งครรภ์ จึงควรป้องกันด้วยการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่โดยเร็วที่สุด เพื่อส่งต่อความคุ้มครองให้ทารกแรกเกิดได้ตั้งแต่วันแรกที่คลอด เพราะทารกจะฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ไม่ได้จนกว่าจะอายุครบ 6 เดือน แต่จะเป็นภูมิคุ้มกันจากแม่ที่ส่งต่อถึงลูกให้ได้รับการปกป้องอาการรุนแรงจากไข้หวัดใหญ่
ศ. นพ. ธีระพงษ์ ตัณฑวิเชียร อาจารย์หน่วยโรคติดเชื้อ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผู้ช่วยผู้อำนวยการและรักษาการหัวหน้าฝ่ายวิจัยและบริการคลินิก สถานเสาวภา สภากาชาดไทย กล่าวเสริมในกลุ่มเสี่ยงโดยเฉพาะผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป และผู้ที่มีโรคประจำตัว อาทิ โรคปอด โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคไต โรคอ้วน ยิ่งมีความเสี่ยงที่จะเกิดอาการรุนแรงจากโรคไข้หวัดใหญ่ ยกตัวอย่าง ผู้ป่วยโรคถุงลมโป่งพองหรือโรคปอด จะเสี่ยงในการเกิดโรคแทรกซ้อนรุนแรง โดยพบมากกว่าคนปกติถึง 100 เท่า ผู้ป่วยโรคหัวใจจะเสี่ยงมากกว่าคนปกติถึง 50 เท่า และผู้ป่วยโรคเบาหวาน เสี่ยงมากกว่าคนปกติ 5-10 เท่า เป็นต้น เนื่องจากในผู้ที่มีโรคประจำตัวเหล่านี้อาจจะมีระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายแปรปรวน ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายไม่สามารถต่อสู้กับเชื้อโรคได้ดีเท่ากับคนที่มีสุขภาพแข็งแรง
ฉะนั้นการสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องในวงกว้างจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพื่อความปลอดภัยและลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อร่วมกันในยุคโควิด-19 โดยไม่ว่าจะอยู่ในกลุ่มเสี่ยงหรือไม่ได้อยู่ในกลุ่มเสี่ยง ก็ควรเข้ารับบริการฉีดทั้งวัคซีนไข้หวัดใหญ่ และวัคซีนโควิด-19 ซึ่งเป็นทางออกที่มีความคุ้มค่า โดยวัคซีนไข้หวัดใหญ่ได้มีการยอมรับถึงประสิทธิภาพของวัคซีนจากทั่วโลกและมาตรฐานที่ใช้มาอย่างยาวนาน นอกจากนี้ยังมีผลการศึกษาวิจัยระบุถึงคุณประโยชน์และประสิทธิภาพของการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ พบว่าสามารถลดจำนวนผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ ลดการใช้ยาปฏิชีวนะ ลดความถี่ในการมาพบแพทย์ ลดการแพร่เชื้อโรค รวมถึงลดการรักษาตัวในห้องฉุกเฉิน และผลโดยรวมยังพบว่าวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่มีประโยชน์มากต่อคนทุกช่วงอายุ รวมทั้งผู้ที่ไม่มีโรคประจำตัวด้วย
รศ. (พิเศษ) นพ.ทวี โชติพิทยสุนนท์ กล่าวเพิ่มเติมถึงการวิจัยว่า “ปัจจุบันยังมีการวิจัยของประเทศบราซิลที่ศึกษาถึงความสัมพันธ์ของการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ และอัตราความรุนแรงของโควิด-19 โดยเปรียบเทียบใน 2 กลุ่ม คือ 1. กลุ่มผู้ป่วยโควิด-19 ที่ได้ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ในระยะ 1-3 เดือนที่ผ่านมา และ 2. กลุ่มผู้ป่วยโควิด-19 ที่ไม่ได้ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ผลปรากฎว่าการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ในผู้ป่วยโควิด-19 จะช่วยลดอัตราการนอนในแผนกผู้ป่วยหนักได้ 7% ช่วยลดอัตราของผู้ป่วยต้องใช้เครื่องช่วยหายใจได้ถึง 17% ซึ่งสอดคล้องกับการศึกษาวิจัยต่างประเทศอีกหลายแห่ง ทั้งในสหรัฐอเมริกา และบราซิล ที่ระบุว่าการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ส่งผลในเชิงบวกต่อการเจ็บป่วยของโควิด-19 สามารถลดอัตราการเสียชีวิตลงจากการติดเชื้อโควิด-19 ได้ถึง 10% ด้วยเช่นกัน”
ปัจจุบันวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่มี 2 ชนิด คือ ชนิด 3 สายพันธุ์ และชนิด 4 สายพันธุ์ ซึ่งได้ผลที่ดีทั้ง 2 ชนิด อย่างไรก็ตามด้วยความก้าวหน้าทางการแพทย์ จึงแนะนำให้ประชาชนฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ชนิด 4 สายพันธุ์ ซึ่งจะครอบคลุมเชื้อไข้หวัดใหญ่ได้กว้างกว่าชนิด 3 สายพันธุ์ โดยวัคซีนจะมีการเปลี่ยนชนิดสายพันธุ์ย่อยไปทุกปีตามที่องค์การอนามัยโลก (WHO) คาดว่าจะระบาดในปีนั้นๆ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องฉีดเป็นประจำทุกปี เพื่อกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายให้พร้อมรับมือกับเชื้อในแต่ละปี ซึ่งสามารถเข้ารับฉีดวัคซีนได้ตามคลินิกเอกชน หรือโรงพยาบาลเอกชนทั่วประเทศ โดยจะเริ่มให้บริการวัคซีนไข้หวัดใหญ่ในฤดูกาลปี 2565 ชนิด 4 สายพันธุ์ ตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคม - ธันวาคม 2565 ขณะที่วัคซีนไข้หวัดใหญ่ชนิด 3 สายพันธุ์ของภาครัฐบาล จะเริ่มให้บริการฉีดฟรีได้ที่หน่วยบริการสาธารณสุขหรือโรงพยาบาลในระบบบัตรทอง ประมาณเดือนพฤษภาคม 2565 เป็นต้นไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น