ทุกวันนี้ ปัญหาสายตาที่มีแนวโน้มพบมากขึ้นในประเทศไทยอย่างเห็นได้ชัด ได้แก่ โรคจอประสาทตาเสื่อมในผู้สูงอายุ (Age-related Macular Degeneration: AMD) ซึ่งพบผู้ป่วยสูงถึง 18,700 คนต่อปี[1] และโรคเบาหวานขึ้นจอตา (Diabetic Macular Edema: DME) ซึ่งพบผู้ป่วยสูงถึง 536,700 คนต่อปี[2] โดยมีสาเหตุมาจากการก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ (aged society) นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2564[3] ทำให้ปัญหาด้านสุขภาพของประชากรที่มีอายุเพิ่มขึ้นหนีไม่พ้นเรื่องความเสื่อมของดวงตา ประกอบกับวิถีชีวิตของประชากรวัยทำงานที่อาจเคลื่อนไหวน้อย ชื่นชอบอาหารและเครื่องดื่มรสหวาน ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงจนเกิดภาวะเบาหวาน ปัญหาทางสายตาดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อการมองเห็นและการใช้ชีวิตประจำวันได้ ดังนั้น การเข้าใจปัจจัยเสี่ยง เฝ้าระวังสัญญาณเตือนเบื้องต้น และการไปพบจักษุแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพตาอย่างสม่ำเสมอ จึงเป็นสิ่งจำเป็น
นพ. ธนาพงษ์ สมกิจรุ่งโรจน์ จักษุแพทย์ด้านจอตาและม่านตาอักเสบ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย และประธานชมรมต้อกระจกและผ่าตัดแก้ไขสายตาผิดปกติแห่งประเทศไทย ได้แบ่งปันข้อมูลเกี่ยวกับโรคทางสายตา แนวทางการรักษาล่าสุด รวมถึงเคล็ดลับในการดูแลดวงตาเพียงคู่เดียวให้มีคุณภาพการมองเห็นที่ดีและอยู่คู่กับเราไปตราบนานเท่านาน
อาการและผลกระทบจากโรคทั้งโรคจอประสาทตาเสื่อม (AMD) และ
โรคเบาหวานขึ้นจอตา (DME) เป็นโรคที่เกิดจากการมีเส้นเลือดที่จอประสาทตาผิดปกติ
และทำให้การมองเห็นแย่ลง
โรคจอประสาทตาเสื่อมในผู้สูงอายุ
(Age-related
Macular Degeneration หรือ AMD) เกิดจากเส้นเลือดชั้นที่อยู่ใต้จอประสาทตามีความผิดปกติ
ทำให้จุดรับภาพจอตาเสื่อม มี 2 ชนิด คือ ชนิดแห้ง (Dry AMD) และชนิดเปียก
(Wet AMD or nAMD) โดยชนิดเปียกมักพบในผู้ที่มีอายุ 55
ปีขึ้นไป
โรคเบาหวานขึ้นจอตา
(Diabetic
Macular Edema หรือ DME)
เกิดจากระดับน้ำตาลในเลือดที่สูง ทำให้เส้นเลือดที่อยู่ในชั้นจอประสาทตามีความผิดปกติ
ส่งผลให้จุดรับภาพจอตาบวม โรคนี้พบได้ในทุกช่วงอายุและยังเป็นสาเหตุอันดับหนึ่งของการสูญเสียการมองเห็นในผู้ป่วยเบาหวาน[4]
ปัจจัยเสี่ยงของโรค
ปัจจัยเสี่ยงของโรคจอประสาทตาเสื่อมในผู้สูงอายุ
มีทั้งปัจจัยที่เลี่ยงไม่ได้ ได้แก่ อายุที่เพิ่มมากขึ้น และปัจจัยที่สามารถปรับได้
เช่น การเลิกสูบบุหรี่ ส่วนปัจจัยเสี่ยงของโรคเบาหวานขึ้นจอตา ประกอบไปด้วย ระยะเวลาที่เป็นโรคเบาหวาน, ระดับน้ำตาลในเลือดสูง, ความดันโลหิตสูง,
ความอ้วน, หรือภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์ เป็นต้น
วิวัฒนาการทางการแพทย์เพื่อผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
เมื่อราว
10
กว่าปีที่แล้ว แนวทางการรักษาหลักของโรคทางจอประสาทตา
ซึ่งรวมถึงโรคจอตาเสื่อมในผู้สูงอายุและโรคเบาหวานขึ้นจอตา คือ การใช้เลเซอร์ ซึ่งวิธีดังกล่าวมักจะไม่สามารถทำให้การมองเห็นดีขึ้นได้มาก
แต่การใช้เลเซอร์มีส่วนช่วยชะลอไม่ให้โรคลุกลามแย่ลงได้ อย่างไรก็ดี
ภายหลังเมื่อความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีการแพทย์ช่วยให้เกิดแนวทางการรักษาใหม่ที่ทำให้ผลการรักษาดีขึ้นได้มาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ยาฉีดเข้าไปในน้ำวุ้นลูกตา โดยยาดังกล่าวเรียกว่ายาในกลุ่ม
Anti-VEGF ที่มีกลไกการออกฤทธิ์ในการลดการงอกของเส้นเลือดที่จอประสาทตา
ผลที่ได้คือสามารถทำให้คุณภาพการมองเห็นของผู้ป่วยดีขึ้นได้
อย่างไรก็ดีการมองเห็นที่ดีขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ
ผู้ป่วยจำเป็นต้องทำการฉีดยาเข้าน้ำวุ้นตาโดยมีความถี่ในการฉีดยาแต่ละชนิดแตกต่างกันไป
บางชนิดผู้ป่วยต้องเข้ารับการฉีดยาบ่อยทุก 1-2 เดือน ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบทั้งต่อผู้ป่วยและผู้ดูแล
โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ระยะทางจากบ้านและโรงพยาบาลห่างไกลกันมาก
หรืออยู่คนละจังหวัด
ทำให้ผู้ป่วยที่คุณภาพการมองเห็นไม่ดีจำเป็นต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากผู้ดูแลซึ่งอาจจำเป็นต้องลางานมา
นพ. ธนาพงษ์ อธิบายว่า
“นวัตกรรมการรักษาโรคจอประสาทตาเสื่อมในผู้สูงอายุและโรคเบาหวานขึ้นจอตาด้วยยาฉีดได้รับการพัฒนาขึ้นมาก
เมื่อไม่นานมานี้ ยาที่มีกลไกการออกฤทธิ์ (mechanism of action) แบบใหม่ ผ่านการรับรองจากสํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เป็น dual pathway inhibitor (ยับยั้งทั้ง VEGF และ ANG 2 ซึ่งมีบทบาทสำคัญของการเกิดโรค) ซึ่งนอกจากจะช่วยลดการงอกของเส้นเลือดแล้ว
ยังช่วยลดการรั่วของเส้นเลือด ลดการอักเสบของเส้นเลือด และทำให้เส้นเลือดที่ไปเลี้ยงจอประสาทตามีความแข็งแรงมากขึ้น
จากมุมมองของจักษุแพทย์ กลไกการออกฤทธิ์ลักษณะนี้ถือได้ว่าเป็นความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ด้านการรักษา
ประกอบกับความสามารถในการออกฤทธิ์ของยาที่นานกว่าเดิม
ทำให้ลดความถี่ในการฉีดยาลงได้ จากผลการวิจัยทางคลินิก[5],[6] พบว่าร้อยละ 80
ของผู้ป่วยที่เป็นอาสาสมัครในงานวิจัยได้รับการฉีดยาทุก 12
สัปดาห์ (ทุก 3 เดือน) ส่วนอีกร้อยละ
60 ได้รับการฉีดยาทุก 16 สัปดาห์ (ทุก 4 เดือน) กล่าวได้ว่านวัตกรรมการรักษาใหม่นี้สามารถช่วยยกระดับการดูแลผู้ป่วยได้ดีกว่าเดิม”
ส่วนเรื่องของความปลอดภัยและอาการข้างเคียง
จากผลการวิจัยทางคลินิกในผู้ป่วยมากกว่า 2,300
ราย
และผู้ป่วยที่มีประสบการณ์การได้รับยาจากการรักษาจริงในประเทศสหรัฐอเมริกา (real-world
evidence) อีกราว 70,000 เข็ม7 นับตั้งแต่ยาผ่านการอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐฯ (Food
and Drug Administration หรือ US FDA) ยังไม่พบความแตกต่างของอาการข้างเคียงระหว่างยานวัตกรรมใหม่กับยาฉีดชนิดเดิมที่เคยมีมาในอดีตแต่อย่างใด
“ล่าสุด
ผู้ป่วยโรคจอประสาทตาเสื่อมในผู้สูงอายุในประเทศไทยจำนวนหนึ่งมีโอกาสได้ใช้ยานวัตกรรมใหม่นี้แล้ว
แต่ยังมีจำนวนไม่มาก
เพราะยาเพิ่งผ่านการอนุมัติในประเทศ ผู้ป่วยที่สามารถใช้ยานวัตกรรมใหม่นี้ได้
มีทั้งกลุ่มผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยและยังไม่เคยได้รับยาใดมาก่อน และในผู้ป่วยที่ไม่ตอบสนองต่อยาเดิม
หรือผู้ป่วยที่ต้องการลดความถี่ในการฉีดยา ถือเป็นความหวังใหม่ของผู้ป่วยในกลุ่มโรคทางจอตาเหล่านี้”
นพ. ธนาพงษ์ ให้ข้อมูลเพิ่มเติม
กรณีของผู้ป่วยโรคเบาหวานขึ้นจอตา
หากผู้ป่วยได้รับการรักษาด้วยนวัตกรรมใหม่ พร้อมกับควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
อาการของโรคมีแนวโน้มที่จะดีขึ้นได้ภายในระยะเวลา 3-5 ปี
และมีโอกาสสูงที่ผู้ป่วยจะสามารถหยุดยาได้
ส่วนผู้ป่วยโรคจอประสาทตาเสื่อมในผู้สูงอายุ
แม้โอกาสในการหยุดยาจะมีน้อยกว่าผู้ป่วยผู้ป่วยโรคเบาหวานขึ้นจอตา
แต่ยาที่สามารถลดความถี่ในการฉีดยา ก็ช่วยทำให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยดีขึ้นมาก
ในอนาคต
เชื่อว่าจะมีนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ ๆ ในการรักษาโรคนี้อย่างต่อเนื่อง เช่น
ยาที่ออกฤทธิ์ได้นานขึ้น, ยาที่มีกลไกการออกฤทธิ์ที่ต่างไปจากยาที่มีในปัจจุบัน,
การผ่าตัดเพื่อใส่เครื่องมือที่ช่วยในการปลดปล่อยยา
ทำให้สามารถลดการฉีดยาเหลือเพียงปีละ 1-2 ครั้ง, การใช้เทคโนโลยีในการวางแผนการรักษา เช่น AI (Artificial
Intelligence) เพื่อดูว่าผู้ป่วยคนไหนจะตอบสนองต่อยากลุ่มใด
ซึ่งล้วนส่งผลให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยดีขึ้น
โรคทางสายตา รู้เท่าทันป้องกันได้
นพ. ธนาพงษ์ กล่าวว่า
“ทั้งสองโรคนี้เกิดจากความผิดปกติที่เส้นเลือดในจอประสาทตา
ซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นได้อย่างฉับพลันและอาจเกิดกับตาเพียงข้างใดข้างหนึ่งเท่านั้น
โดยที่ผู้ป่วยบางรายอาจไม่รู้สึกเจ็บหรือปวดบริเวณดวงตา และหากสังเกตจากภายนอกก็อาจไม่สามารถสังเกตเห็นความผิดปกติของดวงตา
ด้วยเหตุนี้ โรคทางสายตาจึงถือเป็นภัยเงียบ
เพราะผู้ป่วยส่วนใหญ่เข้าใจว่าการมองเห็นไม่ชัดเป็นผลจากค่าสายตาหรือค่าแว่นที่เปลี่ยนไป”
สำหรับผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคจอประสาทตาเสื่อมในผู้สูงอายุและโรคเบาหวานขึ้นจอตา
ควรปรับพฤติกรรมและควบคุมโรคประจำตัวให้ดี ควรใส่แว่นป้องกันอุบัติเหตุหรือแว่นกันแดดเมื่อทำกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อดวงตาและแสงแดด, งดการขยี้ตาหรือนวดตา, งดการสูบบุหรี่,
ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม, ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
คนทั่วไปจะสามารถประเมินความผิดปกติทางการมองเห็นด้วยตัวเองได้อย่างไร
“ทุกคนสามารถคัดกรองความผิดปกติทางการมองเห็นด้วยตนเองได้ง่าย
ๆ เพียงลองปิดตาทีละข้าง จากนั้นมองขอบประตูหรือกรอบวงกบหน้าต่าง
หากเห็นเส้นบิดเบี้ยวหรือจุดพร่ามัว ควรรีบปรึกษาจักษุแพทย์ทันที หากอายุ 45
ปีขึ้นไป ควรหมั่นตรวจสุขภาพตากับจักษุแพทย์เป็นประจำอย่างน้อยปีละ 1
ครั้ง จะได้เข้าถึงการรักษาอย่างทันท่วงที
และลดการสูญเสียการมองเห็น เพราะการมองเห็นที่ชัดเจนเป็นส่วนสำคัญยิ่งกับคุณภาพชีวิต”
นพ. ธนาพงษ์ กล่าวทิ้งท้าย
นพ. ธนาพงษ์ สมกิจรุ่งโรจน์
จักษุแพทย์ด้านจอตาและม่านตาอักเสบ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย และประธานชมรมต้อกระจกและผ่าตัดแก้ไขสายตาผิดปกติแห่งประเทศไทย
[1] Khotcharrat R, Patikulsila D,
Hanutsaha P, Khiaocham U, Ratanapakorn T, Sutheerawatananonda M, Pannarunothai
S. “Epidemiology of Age-Related Macular Degeneration among the Elderly
Population in Thailand''. Journal of the Medical Association of Thailand. 2015
Aug; 98(8): 790-797.
Available from: https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/26437537/
[2] International Diabetes
Federation, 10th edition, 2021.
Available from: https://diabetesatlas.org/data/en/country/196/th.html
[3] กรมกิจการผู้สูงอายุ
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
https://www.dop.go.th/th/know/15/926
[4] American Academy of
Ophthalmology. Diabetic Retinopathy Symptoms.
Available from: http://www.geteyesmart.org/eyesmart/diseases/diabetic-retinopathy/symptoms.
[5] Heier JS et al. Efficacy, durability, and safety of
intravitreal faricimab up to every 16 weeks for neovascular
age-related macular degeneration (TENAYA and LUCERNE):
two randomised, double-masked, phase 3, non-inferiority trials.
www.thelancet.com Published online January 24, 2022 https://doi.org/10.1016/S0140-6736(22)00010-1
[6] Wykoff CC et al. Efficacy, durability, and safety of
intravitreal faricimab with extended dosing up to every 16 weeks in patients
with diabetic macular oedema (YOSEMITE and RHINE): two randomised,
double-masked, phase 3 trials. www.thelancet.com Published online January 24,
2022 https://doi.org/10.1016/S0140-6736(22)00018-6
7 Data on file.
Eichenbaum DA, et al. Presented at the American Society of Retina Society of
Retina Specialists Annual Meeting, New York, NY, July 13-16, 2022
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น