ด้วยระบบขนส่งมวลชนและระบบสาธารณูปโภคของประเทศยังไม่สามารถตอบโจทย์ความต้องการและรองรับการใช้ชีวิตของคนพิการในประเทศที่มีสูงถึง 2,240,537 คน หรือ คิดเป็น 3.39% ของประชากรทั้งหมดของประเทศได้มากนัก ทำให้ชีวิตสาธารณะของคนพิการจึงแตกต่างจากคนปกติ โดยเฉพาะความสะดวกสบายและความปลอดภัยในการเดินทาง
จึงเป็นจุดเริ่มต้นของ “FREEB แอปพลิเคชันสำหรับคนพิการ” แนวคิดการพัฒนานวัตกรรมที่ได้รับรางวัลเหรียญเงินจากการประกวดนวัตกรรมเพื่อคนพิการประเภทนวัตกรรมสากลเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของคนพิการ ในงานสัมมนาวิชาการระดับชาติด้านคนพิการครั้งที่ 15 ประจำปี 2566 ซึ่งจัดโดยกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการร่วมกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่เป็นผลงานของ นายนนธวัฒน์ แก้วมีศรี, นางสาวรินรดา ทองคำนวณ, นายน้ำหนึ่ง อินทสนธิ์ และนายธาดา พุ่มพวง นักศึกษาชั้นปีที่ 3 วิชาคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.)
นนธวัฒน์ เล่าถึงจุดเริ่มต้นของ FREEB ว่า หลังจากได้เข้าร่วมอบรมเกี่ยวกับผู้สูงอายุและคนพิการที่ทาง มจธ. จัดให้กับนักศึกษา และรับทราบถึงความยากลำบากในการใช้ชีวิตประจำวันของคนพิการในหลายด้าน ทั้งเรื่องการเดินทาง การทำธุระ รวมไปถึงการท่องเที่ยว
“ ไอเดียตั้งต้นคือ การจะทำแอปพลิเคชันที่จะช่วยเรื่องการเดินทาง และเพิ่มความสะดวกสบายในการทำกิจกรรมต่างๆ ให้กับคนพิการ ซึ่งเมื่อนำเสนอไอเดียนี้ในช่วงของการอบรม ทางโคงการฯ ได้แนะนำให้พัฒนาต่อเพื่อส่งเข้าประกวดนวัตกรรมเพื่อคนพิการ จึงชักชวนเพื่อนอีก 3 คนที่มีความสนใจเกี่ยวกับคนพิการเหมือนกันมาทำงานด้วยกัน”
ด้านรินรดา กล่าวเสริมว่า ในขั้นตอนของการพัฒนาต้นแบบนั้น เริ่มจากการมีโอกาสได้นำเสนอไอเดียและพูดคุยแลกเปลี่ยนกับคนพิการจำนวนหนี่ง ทำให้พบว่าสิ่งที่คนพิการต้องการสำหรับการใช้ชีวิตประจำวัน คือ การเดินทางที่มีค่าโดยสารที่ไม่สูงเกินไป มีคนขับคอยช่วยอำนวยความสะดวกให้ในการขึ้นลงรถ และมีผู้ช่วยดูแลในเรื่องอื่นๆ ที่คนพิการหรือผู้สูงอายุต้องการ ซึ่งเมื่อไปดูผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่ในท้องตลาด พบว่ายังไม่มีแอปพลิเคชันที่ตอบสนองความต้องการเหล่านี้ได้ครบถ้วน แต่เป็นการช่วยเหลือเป็นเรื่อง ๆ ไป เช่น มีแอปพลิเคชันเพื่อให้บริการรถแท็กซี่สำหรับคนพิการ แอปพลิเคชันเพื่อเรียกใช้บริการผู้ดูแลสำหรับคนพิการและผู้สูงอายุได้ และยังไม่มีแอปพลิเคชันที่ให้ข้อมูลเพื่ออำนวยความสะดวกในเรื่องการท่องเที่ยวของคนพิการ ซึ่งหากแอปพลิเคชัน FREEB มีส่วนให้บริการเดินทางรับส่งคนพิการ มีระบบเลือกผู้ดูแลสำหรับคนพิการและผู้สูงอายุ พร้อมมีฟังก์ชันเพื่อบริการด้านการท่องเที่ยวสำหรับคนพิการ รวมทั้ง 3 ส่วนนี้ไว้ด้วยกัน ก็เป็นโอกาสแจ้งเกิดของแอปพลิเคชันนี้ได้
น้ำหนึ่ง เล่าว่า “เราต้องการให้ FREEB เป็นแอปพลิเคชันที่ลดข้อจำกัด เพื่อให้คนพิการและผู้สูงอายุสามารถใช้งานได้สะดวก และตอบโจทย์ความต้องการให้ได้มากที่สุด เหมือนชื่อและโลโก้ที่พวกเราเลือกใช้ ที่มีความอิสระเสรี (FREE) เหมือนนก (B:Bird) ในส่วนระบบการเรียกรถรับส่ง จึงมีการคัดกรองเฉพาะคนขับที่ได้รับการฝึกอบรมเบื้องต้นในการดูแลผู้มีความต้องการพิเศษมาแล้ว อีกทั้งยังให้ผู้เรียกสามารถเลือกคนขับที่ต้องการได้ด้วยตัวเอง เช่นเดียวกับ ระบบการจ้างผู้ดูแล ที่สามารถเลือกผู้ดูแลได้ด้วยตัวเอง และยังสามารถกำหนดชั่วโมงของการจ้าง แทนที่จะต้องเหมาเป็นรายวันหรือจ้างเป็นรายเดือนเพียงอย่างเดียว ทำให้ลดค่าใช้จ่ายของคนพิการลงได้ และในส่วนของ ระบบบริการด้านการท่องเที่ยว เราได้ออกแบบ FREEB ให้มีข้อมูลของโรงแรมเพื่อคนทุกกลุ่ม (Universal Design) ซึ่งจะช่วยเป็นตัวเลือกในการตัดสินใจสำหรับการเข้าพักของคนพิการ ซึ่งเมื่อใช้ร่วมกับสามารถใช้ร่วมกับ ระบบการเรียกรถรับส่ง และระบบผู้ดูแลร่วมด้วย ก็จะทำให้การท่องเที่ยวสำหรับคนพิการเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น สะดวกขึ้น”
ธาดา ผู้รับผิดชอบในการออกแบบ User Interface (UI) และ User Experience (UX) ของ FREEB บอกว่า สิ่งที่ทำให้งานต้นแบบชิ้นนี้ได้รับรางวัลจากการประกวดครั้งนี้คือ เราสามารถนำเสนอในสิ่งที่สามารถตอบโจทย์ของคนพิการได้จริง เพราะคณะกรรมการในการพิจารณาส่วนใหญ่ก็คือคนพิการนั่นเอง
“คอมเมนท์ส่วนใหญ่ที่เราได้รับ จะเป็นลักษณะของคำแนะนำในสิ่งที่เขาอยากเห็นหรืออยากให้พัฒนาต่อ เช่น การมีฐานข้อมูลและการหาผู้ที่จะเข้ามามีส่วนร่วมเพื่อช่วยเหลือคนพิการ ทั้งในส่วนของการฝึกอบรมผู้ขับขี่รถรับส่ง การหาเครือข่ายผู้ดูแล และโรงแรมที่มีความพร้อมในการรองรับความต้องการของคนพิการและผู้สูงอายุ รวมถึงการพัฒนาระบบต่าง ๆ ให้สามารถใช้งานได้ง่ายขึ้นและเป็นมิตรกับคนพิการและผู้สูงอายุ แต่โดยภาพรวมแล้วเขาบอกว่า FREEB สามารถตอบโจทย์ของผู้ใช้งานได้ดี”
แม้ว่าวันนี้ FREEB ยังต้องรอการการสนับสนุนอีกมากทั้งงบประมาณ กำลังคน และโมเดลทางธุรกิจ เพื่อพัฒนาจากต้นแบบไปสู่แอปพลิเคชันที่คนพิการสามารถใช้งานได้จริง ทั้งในประเทศไทยรวมถึงประเทศที่มีผู้สูงอายุและคนพิการจำนวนมากอย่าง ประเทศญี่ปุ่น ได้ในอนาคต แต่สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วก็คือ ความเข้าอกเข้าใจในคนพิการที่มีมากขึ้นของกลุ่มผู้พัฒนาทั้ง 4 คน
“แค่เรื่องการเดินทางบนทางเท้าที่เคยมองว่าไม่น่ามีปัญหากับเขาเท่าไหร่ แต่พอมาสัมผัสจริงๆ ก็พบหลายเรื่องที่ทำให้คนพิการไม่สามารถเดินทางบนทางเท้าได้ มีทั้งสิ่งกีดขวาง พื้นไม่เรียบ ซึ่งไม่เป็นมิตรกับการใช้ชีวิตของคนพิการเลย เหมือนว่าการทำงานชิ้นนี้ให้เรามีเลนส์ในการมองอีกแบบเข้ามา ที่ทำให้เข้าอกเข้าใจคนพิการมากขึ้น และต้องการที่จะทำอะไรสักอย่างเพื่อให้การใช้ชีวิตของคนพิการเท่าเทียมกับคนปกติมากขึ้น แม้อีกนิดก็ยังดี” รลินดา กล่าวทิ้งท้าย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น