
รองศาสตราจารย์ แพทย์หญิงธัญนันท์ กล่าวว่า โรคมะเร็งปอดแบ่งกลุ่มใหญ่ ๆ 2 ชนิด คือ
1.มะเร็งปอดชนิดเซลล์ขนาดเล็ก (small cell lung cancer) พบในประเทศไทยประมาณ 15% มะเร็งปอดชนิดนี้มีการตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาเคมีบำบัดและการฉายแสงค่อนข้างดี ในปัจจุบันยาเสริมภูมิต้านทานหรือยากระตุ้นภูมิต้านทาน (immunotherapy) เริ่มเข้ามามีบทบาทในการรักษามะเร็งปอดเซลล์ชนิดนี้ร่วมกับยาเคมีบำบัด
2.มะเร็งปอดชนิดเซลล์ขนาดไม่เล็ก (non-small cell lung cancer) พบในประเทศไทยประมาณ 85% ซึ่งมะเร็งปอดชนิดนี้ยังแบ่งย่อยเป็นชนิดต่างๆ อีกหลายชนิด ได้แก่ adenocarcinoma, squamous cell carcinoma เป็นต้น กลุ่มที่เป็น adenocarcinoma นั้นปัจจุบันมีการรักษาด้วยยากลุ่มใหม่ๆ เกิดขึ้น และมีผลการตอบสนองต่อการรักษาค่อนข้างดีมาก
ปัจจัยสำคัญของการเกิดโรคมะเร็งปอด
- บุหรี่ เป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดมะเร็งปอดชนิดเซลล์ขนาดเล็ก(small cell lung cancer) และมะเร็งปอดชนิดเซลล์ขนาดไม่เล็ก(non-small cell lung cancer) ที่เป็นชนิด squamous cell carcinoma
-มีการกลายพันธุ์ของยีน พบว่า ผู้ป่วยมะเร็งปอดชนิดเซลล์ขนาดไม่เล็ก ชนิด adenocarcinoma มีลักษณะของยีนในร่างกายเกิดการกลายพันธุ์ ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับการถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ในครอบครัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกลายพันธุ์ของ EGFR (Epidermal Growth Factor Receptor) ซึ่งพบในคนที่ไม่สูบบุหรี่หรือเลิกสูบบุหรี่มานานมากกว่า 10 ปีขึ้นไป และอาจมีปัจจัยเรื่องของสิ่งแวดล้อมเข้ามาเกี่ยวข้อง เป็นปัจจัยร่วมทำให้เกิดมะเร็งชนิดนี้ได้
-ฝุ่น PM 2.5 เนื่องจากฝุ่น PM 2.5 มีอนุภาคเล็กมาก เมื่อสูดเข้าไปโดยตรงทำให้เกิดการอักเสบต่าง ๆ เกิดขึ้น มีการศึกษาพบว่า ฝุ่น PM 2.5 ทำให้เกิดโรคหลายโรค เช่น โรคหัวใจ โรคถุงลมโป่งพอง รวมถึงโรคมะเร็งปอด ล่าสุดงานประชุม ESMO ที่ประเทศแถบยุโรปซึ่งเป็นการประชุมเกี่ยวกับมะเร็งทั่วโลก มีรายงานการศึกษาหนึ่งว่า PM 2.5 อาจจะสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งปอดชนิดยีนกลายพันธุ์ EGFR แต่ยังต้องมีการศึกษาวิจัยในเรื่องนี้เพิ่มเติมอย่างมาก
อาการของมะเร็งปอด
อาการของโรคมะเร็งปอดนั้นขึ้นอยู่กับว่าตัวเซลล์มะเร็งปอดนั้นอยู่ที่ตำแหน่งไหนในร่างกายเรา โดยส่วนใหญ่ผู้ป่วยมักจะมาด้วยอาการไอเรื้อรัง บางครั้งไอแบบมีเสมหะปนเลือด, เหนื่อย, หายใจไม่สะดวก, เบื่ออาหาร, น้ำหนักลดมากในช่วงเวลาสั้นๆ เป็นต้น ผู้ป่วยบางคนอาจจะมาด้วยอาการทางระบบประสาท ถ้าเซลล์มะเร็งปอดแพร่กระจายไปอยู่ที่สมองหรือไขสันหลัง เช่น อาการแขนขาอ่อนแรง ชา กลั้นปัสสาวะอุจจาระไม่ได้ หรือบางคนมีอาการปวดกระดูกมากถ้าเซลล์มะเร็งปอดนั้นแพร่กระจายไปอยู่ที่กระดูก หรือบางคนมีอาการปวดท้องมากถ้าเซลล์มะเร็งปอดแพร่กระจายไปอยู่ที่ตับ เป็นต้น
การตรวจวินิจฉัยโรคมะเร็งปอด
เมื่อพบก้อนหรือสงสัยว่าผู้ป่วยเป็นมะเร็งปอด แพทย์จะต้องนำชิ้นเนื้อนั้นออกมาตรวจ โดยการส่องกล้องทางหลอดลมและเจาะชิ้นเนื้อมาตรวจ หรืออาจต้องใช้อัลตราซาวด์หรือ CT scan เป็นตัวนำทางในการเจาะชิ้นเนื้อออกมาตรวจ จากนั้นแพทย์จะประเมินระยะโรคโดยการทำสแกนคอมพิวเตอร์ (CT scan) การสแกนคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) การสแกนด้วย PET scan ซึ่งจะตรวจวินิจฉัยด้วยวิธีใดบ้างนั้นในผู้ป่วยแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของแพทย์ผู้ดูแลรักษาให้เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย
ระยะของโรคมะเร็งปอดกับการรักษามะเร็งปอด
การรักษาโรคมะเร็งปอดจะแบ่งตามระยะโรค ดังนี้
-ระยะ 1 และ ระยะ 2 เรียกว่า ระยะต้น เซลล์มะเร็งอยู่ในปอด การรักษาหลักคือ การผ่าตัด หลังการผ่าตัดแพทย์จะนำชิ้นเนื้อไปตรวจทางพยาธิวิทยาเพื่อประเมินว่าเป็นเซลล์ชนิดไหน มีลักษณะอย่างไร ซึ่งผู้ป่วยมะเร็งปอดบางคนอาจต้องมีการรักษาเสริม ด้วยยาเคมีบำบัด (chemotherapy) ยามุ่งเป้า (targeted therapy) ยากระตุ้นภูมิต้านทานหรือยาเสริมภูมิต้านทาน (immunotherapy) ร่วมด้วย เพื่อลดโอกาสการกลับมาเป็นซ้ำ หรือลดโอกาสการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง ซึ่งยาแต่ละชนิดมีข้อบ่งชี้ในการใช้ไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับชนิดของเซลล์มะเร็งปอดและระยะของโรค
-ระยะ 3 เซลล์มะเร็งอยู่ในปอดแต่เริ่มออกมาที่บริเวณต่อมน้ำเหลืองตรงกลางทรวงอก การรักษาผู้ป่วยมะเร็งปอดระยะ 3 อาจต้องใช้การรักษาหลายอย่างร่วมกัน ได้แก่ ผู้ป่วยมะเร็งปอดที่สามารถผ่าตัดได้ เมื่อผ่าตัดแล้วต้องได้รับการรักษาเสริมด้วยยาเคมีบำบัด ยามุ่งเป้า หรือยาเสริมภูมิต้านทานและหรือรังสีรักษาร่วมด้วย เพื่อลดโอกาสการกลับมาเป็นซ้ำ หรือลดโอกาสการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง สำหรับผู้ป่วยที่ไม่สามารถผ่าตัดได้ การรักษาหลักคือ ยาเคมีบำบัดร่วมกับการฉายแสงรังสีรักษา และอาจจะมีการรักษาต่อด้วยยากระตุ้นภูมิต้านทานหรือยาเสริมภูมิต้านทานร่วมด้วยได้
-ระยะ 4 คือระยะแพร่กระจาย เซลล์มะเร็งกระจายไปอยู่ในอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย ซึ่งจุดประสงค์ของการรักษามะเร็งปอดในระยะ 4 คือ
1.เพื่อบรรเทาอาการของผู้ป่วย เช่น อาการเหนื่อย อาการไอ ไอเป็นเลือด อาการปวด เป็นต้น
2.เพื่อยืดระยะเวลาการรอดชีวิตหรืออัตราการรอดชีวิตของผู้ป่วยให้ยืนยาวที่สุด
3.เพื่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย สิ่งที่มีความสำคัญมากคือ ผู้ป่วยมะเร็งปอดจะต้องมีคุณภาพชีวิตที่ดีในระหว่างการรักษา
การรักษาหลัก ๆ คือ การรักษาด้วยยา เช่น ยาเคมีบำบัด ยารักษาแบบมุ่งเป้า ยากระตุ้นภูมิต้านทานหรือยาเสริมภูมิต้านทาน ซึ่งขึ้นอยู่กับชนิดของเซลล์มะเร็งปอด ยกตัวอย่าง ถ้าเป็นมะเร็งปอดชนิดเซลล์ขนาดไม่เล็ก adenocarcinoma ที่มีเรื่องของยีนกลายพันธุ์บางชนิด จะใช้ยามุ่งเป้าในการรักษา แต่ถ้าเป็นชนิด adenocarcinoma ที่ไม่มียีนกลายพันธุ์ การรักษาหลักจะใช้ยาเคมีบำบัดซึ่งปัจจุบันอาจจะให้ร่วมกับยากระตุ้นภูมิต้านทานหรือยาเสริมภูมิต้านทานได้ หรือในบางกรณีในผู้ป่วยบางรายอาจจะใช้ยากระตุ้นภูมิต้านทานเพียงชนิดเดียวได้ ซึ่งแพทย์จะพิจารณาการรักษาตามชนิดของเซลล์มะเร็ง และตัวโรครวมถึงอาการต่าง ๆ รวมถึงสภาวะร่างกายของผู้ป่วยร่วมด้วย ปัจจุบันยาเคมีบำบัดที่ใช้รักษาโรคมะเร็งปอดนั้นไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด เนื่องจากมีการพัฒนายาที่ช่วยในการรักษาอาการข้างเคียงที่เกิดจากยาเคมีบำบัดของผู้ป่วยได้ดีมาก ๆ และยาเคมีบำบัดสำหรับรักษาโรคมะเร็งแต่ละโรคก็ไม่เหมือนกันอีกด้วย
การคัดกรองเพื่อป้องกันการเกิดโรคมะเร็งปอด
การคัดกรองเพื่อป้องกันมะเร็งปอดนั้น มีการทำวิจัยออกมามากมาย เป็นการคัดกรองผู้ที่มีความเสี่ยงสูงด้วยเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ปอดโดยใช้รังสีต่ำ (Low-dose CT chest) ในคนที่สูบบุหรี่มากกว่า 30 ปีและมากกว่า 1 ซองต่อวัน (30 pack-year) ซึ่งการคัดกรองด้วย Low-dose CT chest จะช่วยลดอัตราการเสียชีวิตจากมะเร็งปอดได้ แต่สำหรับคนที่ไม่สูบบุหรี่ โดยเฉพาะมะเร็งปอดชนิดเซลล์ขนาดไม่เล็ก adenocarcinoma มักจะเกิดในคนไม่สูบบุหรี่ ขณะนี้ยังไม่มีการวิจัยเกี่ยวกับการคัดกรองในกลุ่มนี้ บางครั้งอาจจะมีคำแนะนำจากแพทย์บางท่านให้ไปทำเอกซเรย์ปอดปีละครั้งหรือ 2 ปีครั้ง ซึ่งเป็นเอกซเรย์ธรรมดา รังสีไม่มาก ราคาไม่แพง อาจเป็นการทำที่คิดว่าคุ้มค่า แต่ว่ายังไม่มีการศึกษาวิจัยในกลุ่มนี้ ก็แล้วแต่การพิจารณาของแพทย์ที่ดูแลรักษา สิ่งที่ดีที่สุดคือหมั่นดูแลรักษาสุขภาพตนเองอยู่เสมอและสังเกตสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นในร่างกายของตนเองอยู่เสมอ
สิทธิ์การรักษาโรคมะเร็งปอด
ผู้ป่วยมะเร็งปอดมีสิทธิ์การรักษาโรคมะเร็งปอด ทั้งสิทธิ์ประกันสุขภาพถ้วนหน้า สิทธิ์ประกันสังคม สิทธิ์ข้าราชการ รวมถึงรัฐวิสาหกิจ และสิทธิ์ต้องจ่ายดูแลเองหรือประกันชีวิตส่วนตัว เป็นต้น รัฐบาลของประเทศไทยช่วยเหลือผู้ป่วยมะเร็งปอดเป็นอย่างมาก มีการอนุมัติการใช้ยาต่าง ๆ ให้กับคนไทยในทุกๆ สิทธิ์การรักษา ไม่ว่าจะเป็นยาเคมีบำบัด ยามุ่งเป้า เป็นต้น มะเร็งปอดที่พบบ่อยในประเทศไทยคือมะเร็งปอดที่เกิดจากการกลายพันธุ์ของยีน EGFR จากข้อมูลของโรงพยาบาลรามาธิบดี พบได้ประมาณ 60-70% ปัจจุบันคนไทยทุกคนมีสิทธิ์เข้าถึงยาต้าน EGFR ได้แล้วในการรักษาโรคมะเร็งปอดชนิดที่มียีนกลายพันธุ์ EGFR เพราะฉะนั้นอย่าไปกลัวกับการรักษาที่จะเกิดขึ้น เพราะว่าสิทธิ์พื้นฐานของท่านทุกคนที่เป็นคนไทยสามารถใช้รักษาโรคมะเร็งปอดได้
รองศาสตราจารย์ แพทย์หญิงธัญนันท์ กล่าวย้ำเพิ่มเติมว่า อย่าไปกลัวกับคำว่ามะเร็ง “มะเร็งปอดไม่น่ากลัวอย่างที่คุณคิด” รวมถึงการรักษาต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ป่วยบางคนกลัวยาเคมีบำบัดมาก ซึ่งยาเคมีบำบัดสำหรับโรคมะเร็งปอดไม่น่ากลัวอย่างที่คิดเช่นกัน
ขอให้หมั่นดูแลสุขภาพตนเองอยู่เสมอ สังเกตอาการตนเอง ถ้ามีอาการผิดปกติ เช่น ไอมาก เหนื่อยมาก มีก้อนที่คลำได้ ไอเป็นเลือด เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ต้องรีบไปพบแพทย์อย่างรวดเร็ว จะได้รับคำแนะนำที่ดีและถูกต้อง ทำให้รักษาได้อย่างทันท่วงที โอกาสในการหายจากโรค หรืออาการดีขึ้นจากตัวโรคก็จะเร็วขึ้นและมากขึ้น
ทั้งนี้สามารถติดตามความรู้และข้อมูลต่างๆ ของมะเร็งชนิดต่าง ๆ อย่างถูกต้อง ได้ที่เว็บไซต์ของมะเร็งวิทยาสมาคมแห่งประเทศไทย www.thethaicancer.com เพื่อความรู้ที่ถูกต้องและการรักษาตนเองได้อย่างถูกต้อง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น