โรคซึมเศร้าเป็นโรคทางจิตเวชที่มีความซับซ้อน และมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง สามารถเกิดได้กับคนทุกวัย โดยเฉพาะปัจจุบันสังคมมีการเปลี่ยนแปลงมาก เพิ่มความเครียดและความกดดันมากยิ่งขึ้น ส่งผลทำให้มีจำนวนผู้ป่วยโรคซึมเศร้าเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ และที่สำคัญคือมีคนจำนวนไม่น้อยเป็นโรคซึมเศร้าโดยไม่รู้ตัว ทำให้ไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม หรือทันท่วงที เราจะมาทำความรู้จักโรคซึมเศร้าในแง่มุมต่าง ๆ ให้มากขึ้น โดยอาจารย์ นายแพทย์กานต์ จำรูญโรจน์ ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ได้มาให้ข้อมูลเกี่ยวกับโรค เพื่อจะเป็นประโยชน์ในการระแวดระวัง และหาทางป้องกันหรือรีบรักษา
อาจารย์ นายแพทย์กานต์ กล่าวว่า โรคซึมเศร้าเป็นโรคทางอารมณ์ชนิดหนึ่ง โดยปกติมนุษย์เราทุกคนมีอารมณ์ ขึ้น ลง ดี ไม่ดี ได้เป็นปกติ แต่ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าจะมีการควบคุมอารมณ์ที่มีความผิดปกติไป โดยเป็นในลักษณะอารมณ์เศร้าเกิดขึ้นในระยะเวลาต่อเนื่องทุกวันอย่างน้อย 2 สัปดาห์ และเกิดขึ้นเกือบทั้งวัน และมีอาการอื่นร่วมด้วย ได้แก่
-การนอนเปลี่ยนแปลงไป เช่น นอนไม่หลับ หลับๆ ตื่นๆ บางคนอาจจะนอนหลับมากเกินปกติ
-การรับประทานอาหารเปลี่ยนแปลงไป เช่น เบื่ออาหาร ไม่อยากทานอาหาร บางคนทานอาหารมากกว่าเดิม
-สมาธิความจำเปลี่ยนแปลงไป ความคิดความอ่านช้าลง ไม่ค่อยมีเรี่ยวแรงทำอะไร
-มีความคิดในเชิงลบ เช่น คิดว่าตัวเองไม่มีคุณค่า เบื่อหน่ายชีวิต ทำร้ายตนเอง ไม่อยากมีชีวิตอยู่
นอกจากนี้ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าบางคนอาจจะไม่ใช่ลักษณะอาการอารมณ์เศร้า แต่เป็นอารมณ์เบื่อหน่ายหรือหงุดหงิด ไม่อยากทำอะไร มีความคิดไปในทางเชิงลบ อาการเหล่านี้ไม่หายไป แม้ว่าสิ่งที่มากระตุ้นหายไปหรือคลี่คลายขึ้น หากมีอาการเหล่านี้หรือผู้ใกล้ชิดมีอาการเหล่านี้ ให้รีบมาพบแพทย์ เพื่อมารับการดูแลรักษา
สาเหตุและปัจจัยของการเกิดโรคซึมเศร้า
โรคซึมเศร้าเป็นโรคที่มีความซับซ้อน เนื่องจากเป็นโรคทางอารมณ์ โดยมีสาเหตุเกิดจากหลายปัจจัยรวมกัน ดังนี้
-ปัจจัยทางด้านชีววิทยา ในแง่ของพันธุกรรมและพื้นอารมณ์ที่มีมาแต่กำเนิด ในครอบครัวที่มีประวัติการเป็นโรคซึมเศร้าค่อนข้างมาก อาจจะมีแนวโน้มทำให้เป็นโรคซึมเศร้าได้มากขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกคนที่มีคุณพ่อคุณแม่เป็นโรคซึมเศร้าแล้วจะต้องเป็นโรคซึมเศร้าทุกคน นอกจากนี้จะมีในเรื่องพื้นอารมณ์ที่มาแต่กำเนิด บางคนอาจจะมีแนวโน้มที่จะมีความเครียดง่ายมาตั้งแต่เด็ก
-ปัจจัยทางด้านพื้นฐานอารมณ์และจิตใจ หลายคนอาจได้รับการเรียนรู้ที่จะรับมือกับอารมณ์มาตั้งแต่เด็กจนโตแตกต่างกันไป บางคนเติบโตขึ้นมาแล้วอาจจะไม่ได้เรียนรู้เกี่ยวกับการรับมือกับความเครียด ความกดดัน และสภาวะอารมณ์ ก็อาจจะมีแนวโน้มที่จะมีอาการเครียดง่าย ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลให้เกิดโรคซึมเศร้าได้
-ปัจจัยทางด้านสังคม มีอิทธิพลมากในปัจจุบันนี้ เนื่องจากความกดดันความเครียดและสิ่งต่าง ๆ ที่เข้ามารอบด้าน ได้แก่ การรับข้อมูลข่าวสารจากหลายช่องทางนั้นก่อให้เกิดความเครียด รวมทั้งสภาวะสังคมที่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับการดูแลสภาวะจิตใจร่วมกัน ยกตัวอย่าง การที่เราเน้นให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพการทำงานอย่างมาก จนไม่ได้ดูแลสภาวะจิตใจ ก็จะทำให้เกิดความเครียด และส่งผลต่อการโรคซึมเศร้าได้
การตรวจวินิจฉัยโรคซึมเศร้า
การตรวจวินิจฉัยโรคซึมเศร้า จิตแพทย์จะพูดคุยสอบถามอาการ คล้ายกับที่เวลาผู้ป่วยมาตรวจโรคทางกาย และมักใช้เวลาในการพูดคุยเพื่อทำความเข้าใจในลักษณะปัญหาและลักษณะอาการที่ผู้ป่วยมารับการดูแลรักษา และในบางครั้งอาจต้องขอให้ผู้ใกล้ชิดช่วยให้ข้อมูลเพิ่มเติมด้วย เพื่อจะได้ข้อมูลที่ช่วยในการรักษามากยิ่งขึ้น
ในบางครั้งผู้ป่วยอาจจำเป็นต้องได้รับการตรวจร่างกายเบื้องต้น หรือส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการร่วมด้วย เนื่องจากอาการด้านอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปนั้น อาจไม่ได้มีสาเหตุมาจากโรคจิตเวชอย่างเดียว พบว่าโรคทางกายบางโรคอาจจะส่งผลทำให้เกิดอารมณ์เปลี่ยนแปลงได้เหมือนกัน
นอกจากนี้อาจมีการตรวจทางด้านสภาพจิตเพิ่มเติม เช่น การตรวจเกี่ยวข้องกับสมาธิความจำ การตรวจเกี่ยวข้องกับความคิดความอ่าน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความจำเป็นของผู้ป่วยแต่ละคน
ข้อมูลทั้งหมดนี้จิตแพทย์จะนำมาวินิจฉัย แจ้งให้ผู้ป่วยทราบ เพื่อทำการดูแลรักษาต่อไป
แนวทางการรักษาโรคซึมเศร้า
การรักษาโรคซึมเศร้านั้น ผู้ป่วยแต่ละคนจะมีแนวทางการรักษาที่แตกต่างกันไป ซึ่งการรักษาหลัก ๆ คือ การรักษาด้วยยาและการรักษาโดยไม่ใช้ยา และจากการศึกษาวิจัยพบว่า การรักษาโรคซึมเศร้าที่จะได้ผลดีที่สุดก็คือ การรักษาร่วมกันระหว่างการรักษาด้วยยาและการรักษาโดยไม่ใช้ยา
-การรักษาด้วยยา ยาที่ใช้ในการรักษาโรคซึมเศร้าคือ ยาต้านเศร้าหรือ Antidepressant ยานี้มีหลายกลุ่มด้วยกัน การให้ยาต้านเศร้านั้นจะแตกต่างกันไปในผู้ป่วยแต่ละคน ซึ่งต้องพิจารณาว่าผู้ป่วยแต่ละคนเหมาะกับยากลุ่มไหน
นอกเหนือจากการให้ยาต้านเศร้าแล้ว จิตแพทย์อาจให้ยาบางชนิดเพื่อประคับประคองอาการในช่วงแรกเท่านั้น ซึ่งเป็นยาที่ไม่ได้รับประทานต่อเนื่อง ได้แก่ ยาช่วยเรื่องการนอนหลับ ยาช่วยคลายความวิตกกังวล เป็นต้น
-การรักษาโดยไม่ใช้ยา ได้แก่ การพูดคุยให้คำปรึกษา การทำจิตบำบัด การรักษาด้วยไฟฟ้าซึ่งเป็นวิธีการรักษาโดยใช้กระแสไฟฟ้าในระดับที่ไม่เกิดอันตรายกับร่างกายในการรักษา
นอกจากนี้ผู้ป่วยควรปรับเรื่องการใช้ชีวิตประจำวัน ได้แก่ การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การออกกำลังกายสม่ำเสมอ มีกิจกรรมร่วมกับคนที่รักและไว้ใจ เป็นต้น ซึ่งจัดได้ว่าเป็นการรักษาเสริมควบคู่กันไปด้วย
ผลแทรกซ้อนหากผู้ป่วยโรคซึมเศร้าไม่เข้าสู่การรักษา
ผู้ป่วยโรคซึมเศร้ามีลักษณะของอาการไม่มากจนถึงมีอาการระดับรุนแรง ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าหลายคนอาจจะสังเกตอาการได้เมื่อเป็นระดับกลางหรือระดับรุนแรงแล้ว หากผู้ป่วยมีอาการในระดับรุนแรง เช่น มีความคิดที่ติดลบ มีความคิดที่ไม่อยากมีชีวิตอยู่ ถ้าไม่มารับการรักษาแล้วจะเกิดอันตรายมาก เพราะจะมีผลต่อความปลอดภัยของผู้ป่วยได้ สำหรับผู้ป่วยโรคซึมเศร้าที่มีอาการไม่รุนแรง ถ้าไม่มารักษา ก็มีโอกาสที่จะหายได้ด้วยตนเองได้ ซึ่งใช้เวลานาน แต่ถ้าหากผู้ป่วยเข้ามารับการรักษาก็จะทำให้หายได้เร็วขึ้น และทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นได้เร็วขึ้นกว่า
การติดตามอาการโรคซึมเศร้า
ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าจำเป็นต้องรับการรักษาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งระยะเวลาในการรักษาโรคซึมเศร้าในผู้ป่วยแต่ละคนก็จะแตกต่างกันไป โดยส่วนใหญ่ผู้ป่วยจะมีอาการดีขึ้นภายใน 1-2 เดือนหลังได้รับการรักษาและพบวิธีการรักษาที่เข้าได้กับแต่ละคน และหลังจากนั้นจะต้องคงการรักษาไปอย่างน้อย 1 ปี และสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ แต่ทั้งนี้โรคซึมเศร้าเป็นโรคที่มีแนวโน้มเป็นโรคเรื้อรังได้ นั่นคือ แม้ว่าอาการของโรคจะหายแล้ว โรคอาจจะมีอาการกำเริบเกิดขึ้นได้อีก จากการติดตามในระยะหลายปี พบว่าปัจจัยหลายอย่างในชีวิต รวมถึงความเครียดสามารถกระตุ้นให้เกิดอาการกำเริบได้ในครั้งต่อไป ดังนั้นผู้ป่วยโรคซึมเศร้าอาจจะต้องดูแลและสังเกตอาการตนเองอย่างต่อเนื่องระยะยาว หากพบอาการกำเริบกลับมาอีกจะได้เข้ารับการรักษาได้ทันท่วงที ซึ่งก็จะทำให้เขามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้
การป้องกันตนเองไม่ให้เป็นโรคซึมเศร้า
วิธีการป้องกันตนเองไม่ให้เป็นโรคซึมเศร้าคือ การดูแลตนเองทางด้านร่างกายและทางด้านจิตใจ ดังนี้
1.การดูแลด้านร่างกาย ได้แก่
-รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ครบ 5 หมู่
-ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
-การพักผ่อน นอนหลับให้เพียงพอกับที่ร่างกายต้องการ
2.การดูแลด้านจิตใจ ได้แก่
- การผ่อนคลายจิตใจจากความเครียด ความกดดัน จากการทำงานและชีวิตประจำวัน
- การใส่ใจดูแลความสัมพันธ์กับคนที่เรารักอย่างสม่ำเสมอ
-การทำกิจกรรมที่เป็นการเติมพลังให้กับจิตใจ อาจจะเกี่ยวข้องกับศาสนาหรือไม่เกี่ยวข้องกับศาสนา เช่น การทำบุญ นั่งสมาธิ เป็นต้น
- การสำรวจตัวเองอย่างมีสติ และการฝึกคิดบวกอยู่เสมอ เป็นสร้างให้จิตใจมีความเข้มแข็งซึ่งเป็นภูมิคุ้มกันเรื่องจิตใจมากขึ้น
ทั้งนี้ อาจารย์ นายแพทย์กานต์ ได้ฝากเพิ่มเติมว่า โรคซึมเศร้าเป็นโรคที่เรารู้จักกันมาค่อนข้างนานแล้ว และเชื่อว่าทุกคนเห็นความสำคัญของโรคนี้ และดูแลตนเองไม่ให้เกิดโรคนี้ สิ่งที่สำคัญคือ การดูแลโรคซึมเศร้าไม่ใช่เรื่องของส่วนบุคคลหรือเรื่องของครอบครัวเพียงครอบครัวเดียวแล้ว ด้วยสังคมที่มีการสื่อสารกันมากขึ้น ผ่านสื่อโซเชียลมีเดียต่างๆ ดังนั้นการดูแลโรคซึมเศร้าจึงเป็นเรื่องของสังคมมวลรวม เพราะฉะนั้นการดูแลเกี่ยวกับโรคซึมเศร้าร่วมกันจึงเป็นสิ่งที่มีความสำคัญ ซึ่งการดูแลอันดับแรกคือ ควรลดการมองว่าโรคซึมเศร้าเป็นโรคที่ไม่ดีลง ให้รู้ว่าโรคนี้เกิดได้กับทุกคน และเมื่อเกิดโรคซึมเศร้าแล้วสามารถมารักษาได้ หายได้ และใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญ และอันดับที่สองคือ เราจะสร้างสังคมของการกลับมาร่วมกัน ดูแลกันและกันในฐานะมนุษย์ร่วมโลกได้อย่างไร ที่จะช่วยทำให้สุขภาพจิตของเราดีขึ้นตั้งแต่แรก และเราจะป้องกันการเกิดโรคซึมเศร้าได้ตั้งแต่แรก
“โรคซึมเศร้า” เป็นโรคที่พบได้บ่อยมากขึ้นและไม่ควรมองข้าม ดังนั้นควรหมั่นสังเกตตนเอง หากพบว่าอาการที่ผิดปกติที่ทำให้สงสัยเกี่ยวกับโรคซึมเศร้า อย่านิ่งนอนใจ ควรรีบพบจิตแพทย์ เพื่อเข้าสู่การตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาโดยเร็ว จะทำให้คุณจะมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขต่อไป ที่สำคัญคือขอให้หมั่นดูแลสุขภาพกายและสุขภาพใจกันนะคะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น