เนื่องจากวัยทำงานต้องรับผิดชอบหลายอย่างด้วยกัน จึงทำให้เกิดความเครียดได้ง่าย โรคเครียดในวัยทำงานมีความสำคัญอย่างไรนั้น ผศ. นพ.คมสันต์ เกียรติรุ่งฤทธิ์ ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ได้มาให้ข้อมูลเกี่ยวกับโรคพร้อมกับแนวทางการดูแลรักษา
ผศ. นพ.คมสันต์ เกียรติรุ่งฤทธิ์ กล่าวว่าโรคเครียดหรือภาวะที่มีปัญหาการปรับตัว ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านอารมณ์และพฤติกรรม เช่น ทำให้มีอารมณ์เบื่อ เศร้า หรือรู้สึกวิตกกังวลมากขึ้น หงุดหงิด โวยวาย สมาธิความจำแย่ลง มีอาการทางกายเช่น ปวดหัว ปวดท้อง คลื่นไส้อาเจียน ซึ่งอาการดังกล่าวส่งผลเสียต่อการใช้ชีวิตประจำวันรวมไปถึงการทำงาน ทำให้การทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพเหมือนที่เคยทำ และส่งผลต่อความสัมพันธ์ร่วมกับผู้อื่น ทำให้เกิดปัญหากับเพื่อนร่วมงาน รวมถึงปัญหาความสัมพันธ์กับคนในครอบครัว หรือจนกระทั่งนำไปสู่ การทำร้ายตนเอง หรือฆ่าตัวตายได้
สาเหตุของการเกิดโรคเครียดในวัยทำงาน
โรคเครียดในวัยทำงานนั้นปัจจุบันพบว่ามีแนวโน้มที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งสาเหตุของการเกิดโรคเครียดนั้นมาจากหลายสาเหตุด้วยกัน ได้แก่
-ภาระงานที่เพิ่มมากขึ้นทำให้ต้องรับผิดชอบหน้าที่การงานเพิ่มขึ้น การมีปัญหากับเพื่อนร่วมงาน การได้รับรายได้ที่ลดลง การถูกให้ออกจากงาน
-ปัญหาในครอบครัว เช่น ปัญหาที่เกิดจากความรับผิดชอบต่อครอบครัว ปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างคู่สมรส ปัญหาการเลี้ยงดูบุตร ปัญหาการดูแลคุณพ่อคุณแม่ที่อยู่ในวัยสูงอายุ เป็นต้น
-ปัญหาด้านสุขภาพตนเอง การขาดความสมดุลในชีวิตการทำงาน-ชีวิตส่วนตัว เป็นต้น
สัญญาณเตือนโรคเครียด
ผู้ที่สงสัยว่าตัวเองอาจมีปัญหาเรื่องเครียด อาการเตือนของโรคเครียด ได้แก่
-รู้สึกเศร้า เบื่อ อยู่บ่อย ๆ หรือรู้สึกวิตกกังวล
-มีสมาธิ หรือความจำแย่ลง
-มีความสนใจในการทำงานอดิเรกหรือทำกิจกรรมที่ตนเองชอบน้อยลง
-มีปัญหาเรื่องของการนอน เช่น นอนไม่หลับ นอนหลับๆ ตื่น ๆ
-ปวดศีรษะ ปวดท้อง คลื่นไส้อาเจียน
-เบื่ออาหาร น้ำหนักลดลง
ผู้ป่วยโรคเครียดควรมาพบแพทย์เมื่อใด
ผู้ที่มีภาวะเครียดหรือเริ่มสงสัยว่าตัวเองน่าจะเริ่มเครียดแล้ว สิ่งแรกคือ การจัดการแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง ต้องรู้ว่าปัญหาที่ทำให้เครียดนั้นคืออะไร เราสามารถจัดการปัญหาได้หรือไม่หรือขอความช่วยเหลือจากใครได้ ปัญหาไหนควรจัดการแก้ไขก่อน และปัญหาไหนควรจัดการแก้ไขทีหลัง ปัญหาไหนควรปล่อยวาง ไม่ควรเครียดหรือไม่ควรให้ความสำคัญ
สำหรับปัญหาที่เกิดจากภาระงานมาก ต้องจัดลำดับความสำคัญของงานต่าง ๆ รวมทั้งแบ่งเวลาอย่างเหมาะสม สร้างสมดุลในชีวิตตนเองทั้งเรื่องงานและเรื่องครอบครัว รวมถึงการให้ความสำคัญในเรื่องการดูแลตนเองเรื่องการทานอาหาร การนอน และการพักผ่อน ทำงานอดิเรกที่ตัวเราชอบ หากพยายามแก้ไขแล้วยังไม่ดีขึ้น หรือแก้ไขปัญหาไม่ได้ ควรปรึกษาจิตแพทย์เพื่อทำการรักษาต่อไป เนื่องจากปัญหาความเครียดหากปล่อยไว้เป็นปัญหาเรื้อรังยาวนาน อาจนำไปสู่การเป็นโรคซึมเศร้าหรือความวิตกกังวลในอนาคต และอาจนำไปสู่การฆ่าตัวตายได้ในที่สุด
การวินิจฉัยโรคเครียด
เมื่อมาพบจิตแพทย์หรือแพทย์ผู้ประเมิน แพทย์จะสอบถามประวัติส่วนตัว รวมทั้งประวัติของสาเหตุที่ทำให้เครียด และประเมินว่าภาวะเครียดนั้นเข้าได้กับโรคทางจิตเวชหรือปัญหาทางจิตเวชอย่างอื่นหรือไม่ เพื่อหาสาเหตุและหาแนวทางในการรักษาต่อไป
การรักษาโรคเครียด
เมื่อแพทย์ให้การประเมินว่าผู้ป่วยเป็นโรคเครียด จะให้การรักษาดังนี้
-การให้คำปรึกษา เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยทำความเข้าใจกับสาเหตุของความเครียดและผลกระทบที่เกิดขึ้น ชี้แนะอย่างถูกวิธีเพื่อคลายเครียด เพื่อให้เขามีกำลังใจรับมือกับความเครียด
- ในกรณีความเครียดส่งผลทางกาย เช่น นอนไม่หลับ ปวดท้อง หรือปวดศีรษะ จิตแพทย์อาจให้รับประทานยาเพื่อบรรเทาอาการ ซึ่งเหล่านี้จะทำให้ผู้ป่วยมีสมาธิและความจำดีขึ้น กลับไปทำงานและใช้ชีวิตได้ดีขึ้น การรักษาที่จำเป็นต้องใช้ยานั้น จะเป็นเพียงแค่ระยะเวลาสั้นเท่านั้น เมื่อผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นจะค่อย ๆ ลดยาลง และติดตามการรักษาต่อไป
-การทำจิตบำบัด ซึ่งต้องได้รับการบำบัดโดยจิตแพทย์ หรือนักจิตวิทยา โดยวิธีการทำจิตบำบัดที่เหมาะสมจะขึ้นกับการประเมินปัญหาที่มาปรึกษา และการวินิจฉัย
การป้องกันตนเองไม่ให้เกิดโรคเครียด
สำหรับการป้องกันตนเองไม่ให้เกิดโรคเครียดนั้น สิ่งสำคัญ ได้แก่
-การตระหนักรู้ตนเอง หากรู้ว่าตัวเองเริ่มมีอาการเครียด หาทางในการที่จะแก้ไขหรือจัดการปัญหาความเครียดด้วยตนเองก่อน หากแก้ไขไม่ได้ควรปรึกษาคนข้างเคียง เช่น คู่สามีภรรยา คุณพ่อคุณแม่ เพื่อน เป็นต้น ซึ่งคนรอบข้างหลายคนช่วยกันอาจมีหลายความคิดที่จะช่วยแก้ไขปัญหาได้ดีกว่า
-ดูแลสุขภาพทั้งกายและใจตัวเอง เช่น การออกกำลังกาย พักผ่อนให้เพียงพอ และมีงานอดิเรกที่ช่วยลดความเครียดหรือปัญหาต่าง ๆ
ผศ. นพ.คมสันต์ เกียรติรุ่งฤทธิ์ ฝากเพิ่มเติมว่า สำหรับผู้ที่เป็นโรคเครียดในวัยทำงานอันเนื่องมาจากหลากหลายปัญหา ทั้งเรื่องการทำงานและเรื่องครอบครัว ที่สำคัญอันดับหนึ่งคงเป็นเรื่องของการแบ่งเวลางานและเวลาให้กับครอบครัวอย่างเหมาะสม ทำให้เกิดความสมดุลในชีวิตของตัวเอง ซึ่งแต่ละคนอาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกันหรือเท่ากันก็ได้ ขอเพียงว่าให้ดำรงชีวิตต่อไปได้อย่างมีความสุข ซึ่งบางคนหากไม่สามารถจัดการกับโรคเครียดได้ จนรบกวนการใช้ชีวิตประจำวันทั้งของตนเองและผู้อื่น การมาพบจิตแพทย์เป็นทางเลือกหนึ่งที่จะทำให้ผ่านพ้นวัยทำงานต่อไปได้
โรคเครียดสามารถแก้ไขและรักษาได้ ลองสังเกตตัวเราเองว่ากำลังมีปัญหาความเครียดอยู่หรือไม่ หากจัดการแก้ไขด้วยตัวเองก่อนแล้วไม่สามารถแก้ไขได้อาจแนะนำให้พบจิตแพทย์ เพื่อรับการปรึกษาและรักษาอย่างถูกวิธี อย่าให้โรคเครียดมาทำลายสุขภาพนะคะ...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น