โรคหืด และนวัตกรรมการรักษาผู้ป่วยโรคหืดขั้นรุนแรง - Wellness Times News

Breaking

Home Top Ad

POST TOP AD

วันพฤหัสบดีที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2566

โรคหืด และนวัตกรรมการรักษาผู้ป่วยโรคหืดขั้นรุนแรง


หากคุณมีอาการ ไอ หอบเหนื่อยและแน่นหน้าอก หายใจมีเสียงหวีด  นั่นแสดงว่าคุณอาจเป็นโรคหืดได้...   


โรคหืด จัดเป็นโรคเรื้อรังที่พบได้บ่อยในประเทศไทยและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง  เนื่องมาจากมลภาวะทางอากาศที่เพิ่มมากขึ้น    เป็นโรคที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิต   หากควบคุมอาการโรคหืดไม่ได้ ผู้ป่วยต้องเข้ารับการรักษาตัวในสถานพยาบาล  รวมถึงอาจทำให้ผู้ป่วยมีโอกาสเสียชีวิตได้  

นายแพทย์ธิติวัฒน์ ศรีประสาธน์  สาขาวิชาโรคระบบการหายใจและภาวะวิกฤต ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้มาให้รายละเอียดเกี่ยวกับโรคหืดพร้อมกับแนวทางการรักษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคหืดขั้นรุนแรง    

โรคหืด เป็นโรคที่มีการอักเสบเรื้อรังของหลอดลม  ที่มีผลทำให้หลอดลมของผู้ป่วยมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อสารก่อภูมิแพ้และสิ่งแวดล้อมมากกว่าคนปกติ   ซึ่งผู้ป่วยมักมีอาการไอแน่นหน้าอก หายใจมีเสียงหวีดหรือหอบเหนื่อยเกิดขึ้น เมื่อได้รับสารก่อโรคหรือสิ่งกระตุ้น   อาการเหล่านี้อาจหายไปได้เอง  หรือหายเมื่อได้รับยาขยายหลอดลม   และอาการอาจจะกำเริบรุนแรงถึงขั้นทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้      โรคหืดพบได้ในทุกช่วงอายุ  พบได้ตั้งแต่วัยเด็ก อายุ 2-3 ปี   ซึ่งอาการจะดีขึ้นในช่วงวัยรุ่น  และอาการอาจจะแย่ลงในช่วงอายุมากขึ้นคืออายุ  40-50 ปี   นอกจากนี้โรคหืดอาจจะพบได้ในผู้สูงอายุคืออายุ 50-70 ปี 


อาการและความรุนแรงของโรค

ผู้ป่วยโรคหืดจะมีอาการหายใจเสียงหวีด  หอบเหนื่อย ไอและแน่นหน้าอก  หายใจลำบาก    มักมีอาการเป็น ๆ หาย ๆ   อาการจะแย่ลงในช่วงกลางคืนหรือเช้ามืด     ซึ่งอาการของโรคมีตั้งแต่ไม่รุนแรงมากไปจนถึงรุนแรงมาก     และหากไม่ได้รับการรักษาผู้ป่วยจะมีอาการทุกวัน    ในที่สุดเมื่อมีอาการรุนแรงมากผู้ป่วยต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล  

  

ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคหืด ได้แก่  การสัมผัสกับสารที่ทำให้เกิดการระคายเคืองทางเดินหายใจ เช่น ฝุ่นละออง ฝุ่น PM 2.5 ควันบุหรี่      การติดเชื้อไวรัสทางเดินหายใจส่วนบน    พันธุกรรม   เป็นต้น 


การวินิจฉัยโรคหืด 

แพทย์จะวินิจฉัยโรคหืดโดยอาศัยอาการของผู้ป่วยเป็นหลัก    นอกจากนี้แพทย์อาจมีการตรวจทางห้องปฏิบัติการร่วมด้วย เช่น  การตรวจสมรรถภาพปอด เรียกว่า สไปโรเมตรีย์ (Spirometry)   เพื่อยืนยันความผิดปกติของสมรรถภาพปอด    และตรวจการอุดกั้นของหลอดลมก่อนและหลังการให้ยาขยายหลอดลมเพื่อประเมินโรคหืด เป็นต้น      ในกรณีที่ผู้ป่วยไม่สามารถตรวจสมรรถภาพปอดสไปโรเมตรีย์ (Spirometry) ได้ แพทย์อาจพิจารณาให้ยาขยายหลอดลมชนิดพ่นร่วมกับยาพ่นสเตียรอยด์   เพื่อวินิจฉัยและติดตามตามอาการ   ถ้าผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นหลังจากการติดตามแล้ว  อาจวินิจฉัยได้ว่าเป็นโรคหืด 


การรักษาโรคหืด

การรักษาโรคหืดโดยหลักจะใช้การรักษาด้วยยา   ซึ่งยารักษาโรคหืดที่สำคัญแบ่งออกเป็น 2 ชนิด  คือ 

1.ยาบรรเทาอาการ   ได้แก่  ยาสูดพ่นขยายหลอดลมชนิดออกฤทธิ์เร็ว ซึ่งอาจมีส่วนผสมของยาสูดพ่นสเตียรอยด์     ใช้เมื่อผู้ป่วยมีอาการ  ยานี้สามารถออกฤทธิ์บรรเทาอาการหลอดลมตีบได้อย่างรวดเร็ว   ผู้ป่วยจำเป็นต้องพกยานี้ติดตัวตลอดเวลา   


2.ยาควบคุมอาการ  ได้แก่ ยาสูดพ่นสเตียรอยด์อาจร่วมกับยาสูดพ่นขยายหลอดลมชนิดออกฤทธิ์ยาว   ซึ่งต้องใช้เป็นประจำทุกวันแม้ว่าผู้ป่วยจะไม่มีอาการ  จนกว่าแพทย์จะแนะนำให้หยุดการใช้ยา      

นอกจากนี้ยาบรรเทาอาการและยาควบคุมอาการ ยังมียาชนิดรับประทานด้วย แต่ส่วนใหญ่มักจะใช้ยาชนิดพ่นเป็นหลัก  เนื่องจากยาชนิดพ่นมีประสิทธิภาพดีและผลข้างเคียงต่ำ


ผู้ป่วยโรคหืดเมื่อได้รับการรักษาด้วยยาทั้ง 2 ชนิดอย่างถูกต้องแล้วและใช้ยาในขนาดสูงร่วมกับยาชนิดอื่น เช่นยารับประทาน แต่ยังไม่สามารถควบคุมโรคหืดได้  จัดได้ว่าเป็นโรคหืดขั้นรุนแรง  ซึ่งพบได้ประมาณ 4-7% ของผู้ป่วยโรคหืดทั้งหมด 

ปัจจุบันมีการรักษาผู้ป่วยโรคหืดขั้นรุนแรงชนิดใหม่ เรียกว่า “การส่องกล้องจี้หลอดลมด้วยความร้อน (Bronchial thermoplasty) ” ซึ่งการรักษานี้ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ได้นำมาใช้ในการรักษาผู้ป่วยโรคหืดขั้นรุนแรงเพื่อช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น


อาจารย์ นายแพทย์ธิติวัฒน์  ศรีประสาธน์
  กล่าวว่า การส่องกล้องจี้หลอดลมด้วยความร้อน  (Bronchial Thermoplasty)   เป็นอีกทางเลือกของการรักษาผู้ป่วยโรคหืดขั้นรุนแรง   โดยผู้ป่วยอยู่ภายใต้การระงับความรู้สึกจากแพทย์วิสัญญี  แพทย์จะใส่สายที่มีขนาดความกว้าง 2-3 มิลลิเมตรใส่ผ่านกล้องเข้าไปในหลอดลม เซนเซอร์จากสายดังกล่าวจะเปลี่ยนจากคลื่นวิทยุเป็นความร้อนที่ 65 องศาเซลเซียส และจี้เข้าไปที่หลอดลมส่วนปลายเพื่อทำลายกล้ามเนื้อเรียบบริเวณดังกล่าวให้บางลง  เมื่อกล้ามเนื้อเรียบของหลอดลมบางลง   การตีบของหลอดลมก็จะลดลง ทำให้อาการของโรคหืดดีขึ้น    ซึ่งการจี้แต่ละครั้งจะใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง  โดยจะทำ 3  ครั้ง  ซึ่งแต่ละครั้งห่างกัน 3 สัปดาห์  คือ ครั้งที่ 1 ทำที่ปอดขวาล่าง  ครั้งที่ 2  ทำที่ปอดซ้ายล่าง  ครั้งที่ 3 ทำที่ปอดซ้ายบนและปอดขวาบนร่วมกัน    หลังจากนั้นแพทย์จะประเมินผู้ป่วยหลังการรักษาทุกๆ  3 เดือน   

จุดเด่นของการรักษาด้วยการส่องกล้องจี้หลอดลมด้วยความร้อน (Bronchial thermoplasty)  ได้แก่  

-เป็นการรักษาทำ 3 ครั้ง ห่างกันครั้งละ 3 สัปดาห์ ซึ่งการรักษาได้ผลดี   และมีผลข้างเคียงต่อผู้ป่วยน้อย 

-หลังการรักษาสามารถควบคุมและลดอาการกำเริบของโรคหืดได้ถึง 5-10 ปี ซึ่งผลการรักษาใกล้เคียงกับในต่างประเทศ   

 -การรักษาด้วยวิธีนี้ เมื่อเทียบกับการรักษาด้วยการฉีดยาชีวภาพมุ่งเป้าบางชนิดที่มีราคาแพงให้ผลใกล้เคียงกัน  และยังเป็นการลดการใช้ยารับประทานสเตียรอยด์ที่มีผลข้างเคียงต่อผู้ป่วยโรคหืด 

-ลดการนอนโรงพยาบาลจากโรคหืดกำเริบหรือการเข้าห้องฉุกเฉินได้ประมาณ 60-70%

 ข้อจำกัดของการรักษาด้วยการส่องกล้องจี้หลอดลมด้วยความร้อน (Bronchial thermoplasty)  ได้แก่ 

-ผู้ป่วยโรคหืดที่มารักษาต้องมานอนโรงพยาบาล   

-การรักษาด้วยวิธีนี้   ผู้ป่วยโรคหืดที่มีภาวะเลือดไม่แข็งตัว และผู้ป่วยโรคหืดที่ใช้เครื่องกระตุกหัวใจอยู่ไม่สามารถทำได้  เนื่องจากความร้อนที่จี้นั้นอาจไปทำให้เลือดออกง่าย หรือไปรบกวนการทำงานของเครื่องได้   


เนื่องจากโรคหืดเป็นโรคเรื้อรัง  หลังการรักษาด้วยการส่องกล้องจี้หลอดลมด้วยความร้อน (Bronchial thermoplasty)   ผู้ป่วยโรคหืดยังจำเป็นต้องใช้ยาควบคุมอาการต่อไป  แต่ในปริมาณยาที่น้อยลง ซึ่งการใช้ยาที่น้อยลงจะทำให้ลดผลข้างเคียงจากการใช้ยาหรือลดโรคร่วมที่เกิดจากผลข้างเคียงของยาลงได้   ได้แก่  โรคความความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคของจอประสาทตา  โรคกระดูกพรุน เป็นต้น 

การดูแลตนเองของผู้ป่วยโรคหืด

1.ผู้ป่วยโรคหืดมีอาการกำเริบได้ง่ายเมื่อมีสิ่งกระตุ้น   ซึ่งสิ่งกระตุ้นที่สำคัญที่ทำให้อาการโรคหืดกำเริบคือฝุ่นละออง ควันบุหรี่และการติดเชื้อ  มีข้อมูลในเรื่องฝุ่น PM2.5 ชัดเจนว่า ฝุ่น PM 2.5 เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหืดกำเริบและเพิ่มอัตราการตายจากโรคหืดกำเริบ  แนะนำว่าผู้ป่วยโรคหืดควรทำกิจกรรมภายในบ้าน  และลดการทำกิจกรรมนอกบ้าน    หากจำเป็นต้องทำกิจกรรมนอกบ้าน ควรใช้หน้ากาก N95 เพื่อลดการสัมผัสฝุ่น PM2.5


2.กรณีที่มีการระบาดของโรคโควิด-19 ขณะนี้ ผู้ป่วยโรคหืดควรระมัดระวังตัวเองอย่างมาก ไม่ให้ติดโควิด-19  เนื่องจากโรคอาจมีความซับซ้อนมากขึ้น  และนอกจากนี้ควรป้องกันไม่ให้อาการหืดกำเริบ เนื่องจากอาการของหืดกำเริบและอาการโควิด-19 จะคล้ายคลึงกัน   อาจถูกรวมไว้กับผู้ป่วยโรคโควิดแม้ว่าจะไม่ป่วยเป็นโควิดก็ตาม  ผู้ป่วยโรคหืดรุนแรง มีความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตจากโควิดมากขึ้น


3.ผู้ป่วยโรคหืดควรใช้ยาอย่างสม่ำเสมอ และต้องมียาพกติดตัว  และอาจมียาติดตัวเกินจากที่แพทย์นัดประมาณ 1 เดือน  กรณีที่ต้องมีการเลื่อนนัดหรือมีเหตุจำเป็นที่ไม่สามารถมาพบแพทย์ได้  ต้องมียาใช้เพื่อป้องกันอาการหอบกำเริบ 


4.ผู้ป่วยโรคหืดควรดูแลตัวเองด้วยการฉีดวัคซีน เช่น วัคซีนโควิด-19 วัคซีนไข้หวัดใหญ่  และควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ


โรคหืดไม่ใช่โรคที่น่ากลัว  หากผู้ป่วยไม่ละเลยและหมั่นดูแลตนเองสม่ำเสมอ  หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้น ใช้ยาอย่างถูกต้องและสม่ำเสมอ เมื่อมีอาการ ไอ แน่นหน้าอก หายใจมีเสียงหวีด ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจรักษาตั้งแต่เริ่มต้น  จะช่วยควบคุมไม่ให้อาการกำเริบ และสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ      

                                                          

 


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Post Bottom Ad